เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมะเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมๆ สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนั้น เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเสวยวิมุตติสุขๆ สุขอื่นใดสุขที่ยิ่งกว่าสุขทางโลกนี้ สุขที่ยิ่งกว่าทางโลกนี้ นี่คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรม สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ฟังธรรม ฟังธรรมก็ฟังอริยสัจ ฟังสัจจะความจริง แต่สัจจะความจริงที่เกิดขึ้นมาจากใจของครูบาอาจารย์นะ ที่มีธรรมๆ
หลวงตาท่านบอก ถ้ามีธรรมๆ เวลาพูดมามันมีเหตุมีผล มันมีหลักการ แต่ถ้ามันไม่มีธรรมนะ เวลาพูดมามันไม่มีเหตุผล สัญญาอารมณ์ต่างๆ มันไม่มีเหตุไม่มีผลไง ฟังธรรมๆ ก็ตอกย้ำหัวใจของเรา ถ้าตอกย้ำหัวใจของเรา เราเชื่อมั่น เราเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว เราเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เราเชื่อมั่นในปู่ย่าตายายของเรา ปู่ย่าตายายของเราเป็นคนที่มีวาจา เลือกพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เลือกพระพุทธศาสนาขึ้นมา แล้วสังคมร่มเย็นเป็นสุขมา สังคมร่มเย็นเป็นสุขมาเพราะเหตุใด
ในสังคมใดมีผู้ทรงศีล ผู้มีศีลมีธรรม สังคมนั้นฤดูกาลมันจะอุดมสมบูรณ์ สังคมใดทุศีลๆ ในพระไตรปิฎกเวลากษัตริย์จักรพรรดิทุศีลๆ ทำให้เกิดภัยแล้ง ทำให้เกิดต่างๆ เขาเห็นว่าเป็นเพราะอะไรๆ เลย นี่พูดว่าความร่มเย็นเป็นสุขในประเพณีวัฒนธรรม แค่วัฒนธรรมประเพณี สิ่งที่เรามีน้ำใจต่อกัน สิ่งที่เราเป็นความจริงต่อกัน สัจธรรมๆ อันนี้ เราฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ เห็นไหม
แล้วเราเกิดมา เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์นะ การเกิดนี้ ถ้าไม่เกิดขึ้นมา จิตนี้ไม่มีเว้นวรรค จิตนี้ไม่มีชราภาพ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่เวลาจิตนี้มันเกิดเป็นสิ่งใดแล้ว เราจะระลึกไม่ได้ว่าเราเคยมีบุญมีบาปมามากน้อยขนาดไหน แต่เวลาเราเกิดในภพชาติใดแล้วเราก็จะมีทุกข์ ภพชาตินั้นจะบีบคั้น บีบคั้นชีวิตปัจจุบันให้มีความทุกข์มีความยากอย่างนั้น
จิตนี้ไม่มีเว้นวรรค ทีนี้จิตไม่มีเว้นวรรคด้วยบุญกุศล การเกิดเป็นมนุษย์ถึงเป็นอริยทรัพย์ พอคำว่า “เป็นอริยทรัพย์ขึ้นมา” การเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา เพราะมนุษย์มีสมอง มนุษย์เกิดมาแล้ว ถ้ามนุษย์คนที่มีอำนาจวาสนา มนุษย์เกิดมาแล้วคาบช้อนเงินช้อนทองมา มนุษย์เกิดมามีแต่คนเกื้อกูลดูแลทั้งนั้น เวลามนุษย์เกิดมาขาดแคลน มนุษย์เกิดมาทุกข์เกิดมายากไง
ในพระไตรปิฎก เห็นไหม ทุคตะเข็ญใจสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เศรษฐีกุฎุมพีสำเร็จเป็นพระอรหันต์ กษัตริย์สละราชสมบัติออกมาบวชเป็นพระอรหันต์ เวลาเป็นพระอรหันต์ๆ ขึ้นมาเขาแสวงหาสิ่งนั้น เวลาแสวงหาสิ่งนั้น เวลากษัตริย์ที่เขาสละราชสมบัติออกมาบวชเป็นพระอรหันต์ เวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาบอกว่าสุขหนอๆ ความสุขหนอๆ เขาถามว่าสุขหนอเพราะอะไร เป็นกษัตริย์ไม่สุขหรือ
โอ๋ย! เป็นกษัตริย์มันต้องรับผิดชอบ ต้องดูแล มีแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ กลางคืนประชาชนเขานอนแล้ว กษัตริย์ยังไม่ได้นอนเลย มันทุกข์ยากไปทั้งนั้นน่ะ
ถ้าความทุกข์จริงๆ นะ นี่ไง เวลาเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้ว เกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์ แต่เกิดมาแล้วมันทุกข์มันยากทั้งนั้นน่ะ เพราะชีวิตนี้มันต้องการปัจจัยเครื่องอาศัย ชีวิตนี้ ชีวิตนี้ถ้าดำรงอยู่มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิต โรคที่บีบคั้นที่สุดคือโรคหิว มันหิวมันกระหาย มันบีบมันคั้น มันบีบมันคั้นขึ้นมา เราต้องแสวงหามาๆ แสวงหามาเพื่อดำรงชีวิตนี้ไว้ ดำรงไว้ทำไม ดำรงไว้ให้มันทุกข์ใช่ไหม
เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัตินะ เวลาท่านมาอยู่บ้านผือ ตอนนั้นท่านรู้ตัวท่านเองว่าท่านเป็นพระอนาคามี แล้วมันเป็นโรคเสียดอกที่ว่าจะตาย ท่านบอกไม่อยากตาย ไม่อยากตาย เพราะตายแล้วมันไปคาอยู่ มันต้องไปเกิดเป็นพรหม ๕ ชั้น แล้วกว่าจะสำเร็จไปมันช้า ไม่อยากตาย ไม่อยากตาย นี่ไง ท่านรักษาชีวิตของท่านไว้ไง เวลาท่านออกมาพิจารณาของท่านโดยธรรมโอสถรักษาโรคภัยจากนั้นหายไปแล้ว กลับไปวัดดอยธรรมเจดีย์ พอไปสำเร็จขึ้นมาแล้วนะ มาเลย! จะตายเมื่อไหร่ได้เลย พร้อมจะตายแล้ว พร้อม พร้อมแล้ว เพราะมันไม่มีการไปและการมา มันไม่มีการเกิดอีกแล้ว พร้อม
แต่เวลาท่านยังไม่สำเร็จ เห็นไหม ไม่อยากตาย ไม่อยากตาย ยังไม่อยากตาย ไม่อยากตาย ละล้าละลังๆ เพราะมันห่วงนั้นไง พอห่วงนั้น ธรรมะเตือนเลย ท่านก็เคยเป็นอย่างนี้แล้วไม่ใช่หรือ เวลาท่านประพฤติปฏิบัติมา เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา ท่านก็ใช้พิจารณา นี่มาวิตกวิจารณ์อะไรเรื่องการเกิดและการตาย มาวิตกวิจารณ์อะไรกับการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ได้สติปั๊บ
เพราะอะไร เพราะวิตกว่าเรื่องการเกิดและการตาย จิตมันก็ไปอยู่ที่เกิดและการตาย มันไปพะว้าพะวังอยู่ที่นั่น นี่เวลาธรรมะมาเตือนนะ ท่านก็เคยผ่านวิกฤติอย่างนี้มาแล้วไม่ใช่หรือ ท่านก็ผ่านเหตุการณ์มาตั้งมากอยู่แล้ว ทำไมท่านมาวิตกวิจารณ์เรื่องเล็กน้อยขนาดนี้ เรื่องเกิดและเรื่องตายนะ เรื่องเล็กน้อยขนาดนี้
พอท่านได้สติสัมปชัญญะ ไล่คนกลับหมดเลย เข้าในที่นั่งกรรมฐาน พิจารณาเลย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตั้งแต่จิตขึ้นมา รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ อะไรมันเกิด อะไรมันตาย ไล่ไปหมดเลย ไล่ถึงที่สุด ความไล่เข้าไป ธรรมโอสถมันไปฟอก พอฟอกขึ้นมา โรคภัยนั้นหายหมดเลย โล่งหมดเลย ทั้งๆ ที่แทงเข้าไปที่หัวใจ ใจมันจะขาดตลอดเวลา ถ้าไม่มีสตินะ มันก็ขาดทันที ตายทันที ท่านก็รักษาของท่านไว้ เวลามันถอดมันถอนออกมา นี่ธรรมโอสถ นี่ไม่ใช่มรรคนะ ไม่ใช่อริยสัจ ธรรมโอสถๆ
เวลาธรรมโอสถเป็นเรื่องหนึ่ง เวลาอริยสัจสัจจะความจริงเรื่องหนึ่ง สัจจะความจริง เวลามันแก้อะไร มันแก้กิเลส เวลาแก้กิเลสมันไปแก้อย่างไร เวลาแก้อย่างไร ท่านกลับไปแก้ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ไง มันเป็นสัจจะความจริง มันถึงสิ้นสุดไป นี่ผู้ที่รู้จริงเห็นจริง เห็นไหม การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ อริยทรัพย์อย่างนี้
เวลาเกิด เกิดมาทุกข์เกิดมายาก เกิดมาทุกข์ยากเพื่ออะไร เพื่อประพฤติปฏิบัติไง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เราต้องมีการศึกษา ศึกษาแล้วเราปฏิบัติ ศึกษามาก็ศึกษามาให้ปฏิบัติจริงๆ นะ ศึกษามาให้ปฏิบัติ ศึกษามาแล้วอย่าไปอวดรู้
เคยเห็นเครื่องบินชนภูเขาไหม เครื่องบินชนภูเขา เวลาเครื่องบิน นักบินกว่าจะเป็นนักบินแต่ละคนขึ้นมา เขาต้องเรียนมาขนาดไหน เวลาเรียนมาต้องฝึกฝนขนาดไหน เครื่องบินแต่ละลำเขาทดสอบแล้ว เขาพิสูจน์แล้ว วิทยาศาสตร์เขาทดสอบแล้ว เขารับประกันแล้วว่ามันมีคุณค่า เขาถึงเอามาเป็นเครื่องบินพาณิชย์ได้ เวลามันขับไป มันชนภูเขาตายหมดเลย มันบกพร่องเพราะอะไรน่ะ มันบกพร่องเพราะเทคนิคก็ได้ มันบกพร่องเพราะนักบินก็ได้ เวลานักบินขึ้นไป เวลาสภาวะแวดล้อมหมอกลงจัด ไม่เห็นภูเขา มันชนเลย นี่ไง ก็เรียนมาดีแล้ว ก็เรียนมาทั้งนั้นน่ะ ควรเรียนในปัจจุบันสิ
นี่ก็เหมือนกัน เรียนมาให้ประพฤติปฏิบัติๆ เวลาเรียนมา รู้ไปทั้งหมดเลย ชนกิเลสไหม เห็นกิเลสบ้างหรือป่าว มีแต่กิเลสมันกระทืบตายอยู่นั่น นี่ไง สิ่งที่เป็นจริงๆ เวลาเรียนขึ้นมาแล้ว เรียนก็ส่วนเรียน ปัญญาส่วนปัญญา ว่าปัญญาอย่างนี้มันโลกียปัญญาๆ คำว่า “โลกียปัญญา” เวลาเราเอง ผู้ที่จินตนาการมันแบ่งแยกให้เสร็จเลย อย่างนี้เป็นสุตมยปัญญา อย่างนี้เป็นจินตมยปัญญา เป็นภาวนามยปัญญา มันแบ่งให้เสร็จเลย แล้วบอกว่าของเราภาวนามยปัญญา ของเรา ถ้าว่าเป็นของเรา ของเขา จบ กิเลสทั้งนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้น ของเราๆ ของเราก็ขี้โกงไง ของเราก็โกงเขามา ถ้ามีเรา มีเขา เสร็จ
ถ้าเป็นจริงๆ เวลาครูบาอาจารย์เรากรรมฐาน เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เกิดมาทำไม ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในบรรดาสัตว์สองเท้านะ เวลาอ่านพระไตรปิฎกนี่ซาบซึ้งธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องมีตัวอย่าง มันมีตัวอย่าง มีครูบาอาจารย์เป็นผู้นำ
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทุกข์ยากมาขนาดไหน เวลาท่านทุกข์ยาก ท่านทำความเป็นจริงขึ้นมา แล้วมันทุกข์ยาก ทุกข์ยากมาทำไม เราเกิดมาชีวิตนี้แสนทุกข์แสนยาก แสนทุกข์แสนยาก เวลาคนที่ต่ำต้อย เกิดมาชีวิตนี้ก็แสนทุกข์แสนยากอยู่แล้ว เวลาจะทำมาหากินไม่พออยู่แล้ว แสวงหาเพื่อความมั่นคงของชีวิต นี่มันทุกข์ยากขนาดนี้ ทำไมต้องไปทุกข์ยากอย่างอื่นอีก จะต้องไปประพฤติปฏิบัติอีกหรือ ยังต้องไปวัดไปวาอีกหรือ ยังต้องไปถือศีลอีกหรือ โอ๋ย! ตายเลย จะหาความสุขๆ ความสุขที่ไหน
ความสุขแสวงหาสมบัติสาธารณะ สมบัติสาธารณะ สิ่งที่เป็นมันเป็นสมบัติ สมบัติจริงๆ แต่สมบัติเป็นสาธารณะเพราะอะไร เพราะมันซื้อขายแลกเปลี่ยน มันไม่ได้เก็บไว้กับเราตลอดไป มันซื้อขายแลกเปลี่ยน เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็พลัดพรากจากเราอยู่แล้ว
แล้วสมบัติส่วนตนล่ะ สมบัติของเราล่ะคืออะไร ความดีความชั่วน่ะ ความดีความชั่ว คนทำความผิดแล้วตำรวจจับไม่ได้ไม่ต้องติดคุก แต่ความเผาไหม้ในหัวใจมันก็มีของมันอยู่ คนเราทำคุณงามความดีขนาดไหน เขาใส่ความติดคุกเยอะแยะไปหมดเลย นี่ไง ความดีความชั่ว นี่เรื่องของสมมุติ เรื่องของโลกไง แต่ความจริงๆ ความจริงที่หัวใจใครหลอกลวงใครได้
ความลับไม่มีในโลก ใครทำชั่วมันก็รู้ว่ามันทำ ใครทำดีมันก็รู้ว่ามันทำ มันเป็นคนทำ มันจะไปปิดกั้น ไปปิดไว้ที่ไหน แต่ความดีจริงๆ มันไม่มีน่ะสิ ความดีจริงๆ ที่รู้จักอริยสัจ รู้จักใจของตนมันไม่มีน่ะสิ ถ้ามันมีขึ้นมามันมีอย่างไร นี่ไง ครูบาอาจารย์ที่ท่านฉลาด
นี่ไง ศึกษามาๆ นักบินมันศึกษามาเต็มที่ นักบินมันต้องบินอยู่ตลอด ชั่วโมงบินต้องบินตลอด ขาดไม่ได้ มันยังบินชนภูเขาเลย ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เอาอะไรมาปฏิบัติ เรียนมาๆ รู้อย่างไร ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันเป็นอย่างไร สร้างภาพทั้งนั้นน่ะ
ครูบาอาจารย์ที่ท่านฉลาด หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอน สอนข้อวัตรปฏิบัติ คนเราเริ่มต้นมันเหมือนกับการฝึกงาน การฝึกงานต้องเริ่มต้นจากพื้นฐาน เริ่มต้นจากพื้นฐานที่ทำงานนั้นให้เป็น ถ้าทำงานให้เป็น หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าใครหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
แล้วถ้าเป็นหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นนะ ถ้าหลวงตาท่านเป็นผู้อุปัฏฐาก ท่านบอกว่า ถ้าจะไปที่ไหน ถ้าที่ไหนมีตัวอักษรวางอยู่กับพื้น ท่านจะไม่นั่งเด็ดขาด ท่านจะต้องเอาพวกตัวอักษร ตัวหนังสือยกไว้ที่สูง ท่านถึงจะนั่ง
เหตุผลของท่านคือตัวอักษร ตัวอักษรภาษาใดก็แล้วแต่มันสามารถสื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ท่านเห็นสื่อธรรมะยังมีค่าขนาดนั้น ทำไมท่านจะไม่เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำไมท่านจะไม่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเคารพสูงสุด ท่านเคารพทั้งชีวิตเลย ท่านสละชีวิตให้เลย เวลาท่านบรรลุธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนากับท่านเลย ทำไมท่านจะไม่เคารพ เวลาท่านเคารพ เคารพสูงส่งขนาดไหน เห็นไหม
เวลาหลวงตาท่านศึกษามา ศึกษามาจนเป็นมหา อยากจะประพฤติปฏิบัติ ไปหาท่านนะ “มหา มหาเรียนมาถึงเป็นมหานะ การเรียนมันสูงส่งมาก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดมาก แต่ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติไปมันจะเตะมันจะถีบ” นี้คือภาษาอาจารย์คุยกับลูกศิษย์คุยกันด้วยความสนิทสนม มันจะเตะมันจะถีบคือมันจะขัดมันจะแย้ง มันจะทำให้เราหลงใหล มันจะทำให้เราเรรวน มันจะทำให้เรา
นี่น้ำใจของครูบาอาจารย์นะ แต่พวกเราไปเห็นว่าเป็นการดูถูก เป็นการเหยีบดหยาม เป็นการไม่ยอมเคารพ เป็นการดื้อด้าน เป็นอย่างนั้นหรือ
เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา เวลาท่านบรรลุธรรมขึ้นมาท่านซาบซึ้งใจมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร ท่านก็รู้แล้ว เพราะความรู้แล้วอันนั้นมันลึกซึ้งขนาดนั้น ถ้าลึกซึ้งขนาดนั้น เวลาท่านจะสอนสาวกใช่ไหม จะสอนสัทธิวิหาริก สอนพวกเรา นี่ไง ท่านให้เราฝึกฝน ฝึกฝนจากข้อวัตรปฏิบัติ ฝึกฝนให้มันมีสติปัญญา ถ้ามีปัญญาขึ้นมา ให้จิตมันเข้มแข็งขึ้นมา ให้สร้างสมขึ้นมา
ดูสิ เราเกิดมาทุกข์เกิดมายาก เกิดมาเพื่อแสวงหาความสุข เกิดมาเพื่อความมั่นคงของชีวิตพระบวชมาแล้วก็อยากจะประพฤติปฏิบัติเป็น เวลาปฏิบัติก็เร่ๆ ร่อนๆ ไม่มีสิ่งใดเป็นหลักการเลย ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งอาศัยได้
นี่ไง เวลาสมบัติของพระก็ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล ศีลสมบูรณ์หรือไม่ ถ้ามีศีลสมบูรณ์อย่างไร ศีลสมบูรณ์ ทำข้อวัตรปฏิบัตินี่ก็รักษาศีล รักษาศีล รักษาข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อให้ใจมันเกาะไว้ เครื่องอยู่ของใจๆ ไง ใจที่เป็นนามธรรม ใจที่เป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้น่ะ เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา มันเผาลนในหัวใจ เราไม่รู้จักใจของเรา เวลาจะฝึกฝนขึ้นมา จะแสวงหามัน ก็มันอยู่ไหนล่ะ สิ่งที่เป็นนามธรรมมันอยู่ไหน
นี่ไง ท่านถึงให้เป็นเครื่องอยู่ อยู่ให้มันชัดให้มันเจนขึ้นมา ถ้าชัดเจนขึ้นมา แล้วถ้ามันรักษาหัวใจของเราได้ เวลาพระปฏิบัติขึ้นมาอิ่มบุญนะ บวชมาพรรษา ๑ พรรษา ๒ “แหม! สุขมาก สุขมาก” พอพรรษา ๓ พรรษา ๔ มันชักเบื่อแล้ว “เอ๊! ถ้าสึกไปมันก็ภาวนาได้นะ ถ้าไปอยู่ทางโลกก็พอจะภาวนาได้ มันจะเป็นอะไรไป โอ้โฮ! ถ้าไปอยู่ทางโลกมันยิ่งดีขึ้นไปใหญ่เลย” มันไปเรื่อย
เวลาแรกๆ มันก็อยู่ของมันได้ ถ้ามันไม่มีจุดยืน ไม่มีที่พึ่งพาอาศัย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นผู้ฉลาด ท่านรู้ว่ากิเลสมันปลิ้นปล้อนขนาดไหน กิเลสในใจของสัตว์โลกมันดื้อด้านขนาดไหน ถ้ามันดื้อด้านขนาดไหนนะ ใครก็แล้วแต่ที่จะต่อสู้กิเลสของตน คนคนนั้นต้องมีหลักการ คนคนนั้นต้องมีพื้นฐาน ถ้าคนมีพื้นฐานขึ้นมา ท่านถึงพยายามสร้างพื้นฐานอันนั้นให้ ถ้าสร้างพื้นฐาน ถึงเกิดวงกรรมฐานขึ้นมาไง ถึงเกิดวงกรรมฐาน เกิดวงกรรมฐานที่ให้สืบต่อกันมาไง
เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดกับหลวงตา “มหา มหาก็พรรษาก็มากแล้วนะ มหาให้พระเณรน้อยมันขึ้นมา จะได้มีข้อวัตร ข้อวัตรปฏิบัติติดหัวใจมันไป” ติดหัวใจมันไปเพราะเราได้เคยได้ทำกับหลวงปู่มั่น เราได้เคยได้ทำกับครูบาอาจารย์ มันได้เคยได้ทำ เคยได้ทำ เคยได้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อันนี้มันจะฝังหัวใจไปถ้าจิตใจมันเป็นธรรม
ถ้าจิตใจมันดื้อด้าน “โฮ้! เสียเวลา จะปฏิบัติอยู่ที่ไหนก็ได้ จะปฏิบัติกลางตลาดก็ได้ จะปฏิบัติบนตึก ๕ ชั้นก็ได้” เวลามันดื้อด้าน
คำว่า “ดื้อด้าน” เหมือนคนเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วดูถูกวิธีการรักษา ดูถูกยาว่ามันจะรักษาโรคได้ ถ้าคนดื้อด้านมันไม่เห็นคุณประโยชน์ของยา คุณประโยชน์ของวิธีการรักษาโรคภัยไข้เจ็บนั้น แต่ถ้าคนที่เขาเป็นหมอ คนที่เขามีความรู้ เขาพยายามจะรักษาร่างกายของเขา รักษาหัวใจของเขา รักษาเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บของเขา เขาเห็นว่ามีคุณค่า มันจะของเล็กของน้อยมันก็มีคุณค่า
ตอนนี้การออกกำลังกาย สุขภาพกายแข็งแรง สิ่งนี้โลกกำลังตื่นตัว แค่ออกกำลังกายมันก็ทำให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อไม่ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ แค่วิ่งแค่เดินมันยังมีคุณค่าเลย แล้วอะไรที่มันไม่มีคุณค่าไง ถ้าจิตมันดื้อมันด้านน่ะ มันไม่เห็นประโยชน์ทั้งนั้น
แต่เวลาหลวงตา เวลาวงกรรมฐานท่านบอกเลย ใครอยากเห็นหลวงปู่มั่นให้ไปวัดป่าบ้านตาด เพราะหลวงตาท่านพยายามรักษาของท่านไว้ แต่เวลาหลวงตาท่านพูด “ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดรอบคอบนัก เราจะทำให้สมบูรณ์แบบ ให้เป็นไปโดยสมบูรณ์แบบนั้นเป็นไปได้ยาก” ท่านพูดกับพระประจำนะ “แต่เราจะพยายามทำผิดให้น้อยที่สุด” คือพยายามจะทำความผิดพลาดให้น้อยที่สุด ให้น้อยที่สุด ก็มีสติสำนึกอยู่ตลอดเวลา เห็นประโยชน์ เห็นคุณค่า เพื่อเป็นแบบอย่าง เพื่อให้คนรุ่นหลังว่า พระที่ท่านประพฤติปฏิบัติท่านทำตัวอย่างใด ท่านรักษาหัวใจของท่านอย่างใด หัวใจที่รักษาไว้มันทำให้อบอุ่นนะ
ไม่ใช่ว่าพรรษา ๑ “อู้ฮู! สุดยอด” พรรษา ๒ พรรษา ๓ มันบอก “เฮ้ย! เป็นฆราวาสก็ปฏิบัติได้นะ” ไม่เป็นอย่างนั้น
ถ้าจะรักษา รักษาหัวใจให้มันแช่มชื่น รักษาหลักการอันนั้นไว้ พื้นฐานทำอะไรไม่ได้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พยายามรักษาไว้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วถ้ามันมีอำนาจวาสนานะ คนที่มีอำนาจวาสนา ถ้าจิตมันสงบแล้วมันจะรู้มันจะเห็นไปโดยอำนาจวาสนา แต่ครั้งสองครั้งเท่านั้นน่ะ มันจะไม่รู้อย่างนั้นตลอดไปหรอก เพราะในพระไตรปิฎกมีพระหลายองค์มาก เวลาไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวช เอหิภิกขุ บริขารเป็นทิพย์จะมาเป็นชุดๆ เลย
พาหิยะฟังธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนเป็นพระอรหันต์แล้ว ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวช องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “พาหิยะ เธอไม่มีบริขาร” พาหิยะไปแสวงหาบริขารของตน บริขารของเรา ผ้าไตรจีวร บาตร ธมกรก บริขาร ๘ ไปหาบริขารอยู่ โดนควายขวิดตาย
นี่เวลาผู้ที่มีบุญๆ เวลาเอหิภิกขุไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวช พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอหิภิกขุให้ “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด” จะมีบริขารทิพย์ แต่ชุดเดียว นี่เป็นการให้เห็นว่า จิตแต่ละดวง ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้ไม่มีการเว้นวรรค จิตนี้ไม่เคยตาย มันได้สร้างบุญสร้างบาปมาทุกภพทุกชาติแบบเราเกิดมาเป็นปัจจุบันนี้ เราเกิดมาชีวิตหนึ่งก็ภพชาติหนึ่ง เราจะปฏิเสธว่ามันไม่มี มันไม่เป็นไป แต่จิตดวงนี้มันไม่เคยตาย ถ้าจิตดวงนี้เคยตาย อารมณ์ความรู้สึกของเรา เราต้องทำลายมันได้
ทุกคนอยากทำลายความทุกข์ในหัวใจ แต่ทำลายไม่ได้ เพราะทำลายโดยผิดวิธี แต่ถ้าทำลายโดยถูกวิธี โดยถูกวิธี เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ท่านทำลายแล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงวางพื้นฐานให้พวกเรา ถ้าวางพื้นฐานให้พวกเรา
แล้วถ้าท่านเป็นนักวิชาการนะ ท่านจะเขียนหนังสือ ในการรับบาตรจะสร้างสติอย่างนั้น ในการถูศาลาในการทำห้องน้ำ ถ้าเป็นนักวิชาการมันก็จะมาเขียนหนังสืออีกเล่มหนึ่ง มันก็จะมาเขียนหนังสืออีกหลายๆ เล่ม อันนั้นมันเขียนไปมันก็มุมมองทั้งนั้นน่ะ
แต่ท่านไม่ต้องเขียน ท่านบังคับพระให้ทำ บังคับให้ทำ ถ้าไปอยู่กับท่านต้องทำๆ ถ้าทำขึ้นมา ถ้ามันรู้เองไง เอ๊อะ! เราดีขึ้น เราดีขึ้นเพราะเราอยู่กับการล้างส้วม เราอยู่กับการกวาดวัด เพราะว่าเวลากวาดวัด เรามีสติปั๊บ จิตใจมันอยู่กับเรา เราไม่ได้คิดฟุ้งซ่านไปข้างนอก
เวลาเราอยู่กุฏิคนเดียว อู้ฮู! มันคิดไปรอบโลกเลย มันคิดว่าตัวมันเป็นพระอรหันต์นู่นน่ะ แต่เวลามันมากวาดวัด เออ! เรายังเป็นภิกษุสมมุติอยู่ เรายังเป็นผู้กวาดลานเจดีย์อยู่ นี่มันฝึกหัดๆ ถ้ามันรู้จักวิเคราะห์ รู้จักแสวงหามันเห็นคุณค่า
แต่วันนี้กวาดวัดกวาดวาแล้วจิตใจมันแช่มชื่น พรุ่งนี้มากวาดวัดอีก โอ๋ย! วันนี้ทุกข์เกือบตาย นี่สิ กวาดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน แต่มันต่างวาระต่างเวลา เวลาที่มีสติสัมปชัญญะ กิเลสมันสงบตัวลงมันก็แช่มชื่น เวลากิเลสมันฟื้นตัวมา กิเลสมันต่อต้าน มันทำลายเอาเกือบเป็นเกือบตาย
หลวงปู่มั่นท่านสรุปว่า จิตนี้แก้ยากนัก แล้วท่านสรุปลงไปเลยว่า สิ่งที่เป็นโทษ สิ่งที่เป็นโทษกับจักรวาล กับโลกนี้ คือกิเลสในหัวใจของสัตว์โลก กิเลสในหัวใจของสัตว์โลก
แล้วพวกเรามีกิเลสหมด รู้หน้าไม่รู้ใจ ปากหวานก้นเปรี้ยว พูดเพราะ น้ำใจเชือดคอ นี่กิเลส กิเลสของคน แต่เราพยายามศึกษาค้นคว้าเพื่อชำระมัน เพื่อทำใจเราให้ได้ ฟังธรรมๆ เห็นไหม ฟังธรรมขึ้นมาเพื่อธรรมโอสถ รักษาเรา แล้วไปวิเคราะห์วิจัย ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กาลามสูตร อย่าเชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา อย่าเชื่อคนเทศน์นะ กลับไปวิเคราะห์ มันจริงหรือไม่จริง ธรรมโอสถเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ แล้วไปวิเคราะห์ แล้วทำของเราขึ้นมา ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เอวัง